Ka sip bok

  -กำหนดระยะและขนาดหลุมปลูก โดยระยะที่เหมาะสมคือ 4x4 เมตร และควรขุดหลุม 50x50x50 เซ็นติเมตร เพราะรัศมีของรากกล้วยจะหากินไม่เกิน 50 เซ็นติเมตร การขุดหลุมขนาดนี้จะทำให้รากกล้วยหากินได้ไกลขึ้น และความลึกของหลุมจะแก้ปัญหาการขึ้นโคนหรือโคนลอย โดยการปลูกครั้งหนึ่งสามารถเก็บผลผลิตได้ 4-5 ปี เลยทีเดียว ถ้าขุดหลุมขนาดเล็กและตื้นกว่านี้ จะให้ผลผลิตแค่ปีสองปีก็ต้องรื้อปลูกใหม่แล้ว ใส่ปุ๋ยรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกผสมดินประมาณหลุมละ 2 กิโลกรัม รองหนาขึ้นมาประมาณ 30 เซ็นติเมตร แล้วจึงปลูกต้นกล้วยและกลบบริเวณโคนต้นให้แน่น ทำแอ่งดินรอบต้นเพื่อเก็บน้ำรักษาความชื้นของดิน ปลูกเสร็จให้น้ำตามทันทีให้ชุ่มชื้นพอเพียง ไม่เช่นนั้นต้นจะเหี่ยวเฉา ใบแห้งและยุบตัว บางต้นตาย บางต้นแตกต้นใหม่ขึ้นแทนทำให้อายุต้นไม่สม่ำเสมอกัน การใส่ปุ๋ย ปุ๋ยคอก ให้ปุ๋ยอินทรีย์ประเภทปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก อัตราการใส่ปุ๋ย 3 – 5 กิโลกรัม/ต้น/ครั้ง หรือ ปุ๋ยเคมี อัตราการใส่ปุ๋ย 100 กรัม/ต้น/ครั้ง โดยใส่ปุ๋ยหลังปลูก 1 เดือน และครั้งที่ 2 ในเดือนที่ 5 หลังปลูก หรือในช่วงก่อนกล้วยใกล้ออกปลี 2-3 เดือน - การให้ปุ๋ยเคมีทางรากควรใช้สูตร 25-7-7

  เลือกพันธุ์กะเพรา วิธีการปลูกกะเพราทำได้ง่ายมาก แต่ก่อนอื่นให้เลือกก่อนว่าชอบกะเพราแบบไหน  กระเพราขาว ใบใหญ่ หรือ กะเพราแดง ที่กลิ่นเข้มข้นมากกว่า เมื่อตัดสินใจได้แล้วจะได้ลงมือปลูกกัน วิธีปลูกกะเพรา การปลูกกะเพราทำได้ทั้งโดยวิธีเพาะเมล็ด และวิธีชำกิ่ง แต่วิธีเพาะเมล็ดกะเพราจะโตช้ากว่า จึงแนะนำให้ใช้วิธีชำกิ่ง การเลือกกิ่งพันธุ์ให้เลือกกิ่งกลางแก่กลางอ่อนที่ยังไม่เคยออกดอก ตัดกิ่งยาวประมาณ 4-5 นิ้วมาปักชำในกระถาง โดยปักเอียง 45 องศา รดน้ำให้ชุ่ม ไม่กี่วันกะเพราก็แตกรากแตกใบ ต้นโตเร็วกว่าวิธีเพาะเมล็ดมาก เมื่อกะเพราแตกกิ่งดีแล้วจะปลูกในกระถางต่อไปก็ได้ หรือนำไปปลูกลงดินก็ได้ ข้อแตกต่างคือถ้าย้ายมาปลูกลงดินจะได้กะเพราที่ต้นสูงใหญ่กว่า วิธีปลูกลงดินถ้ามีพื้นที่เหลือพอก็ปลูกหลายต้นได้เลย โดยปลูกให้ต้นห่างกัน 20-30 เซนติเมตร เทคนิคการเก็บกะเพรา เมื่อกะเพราโตแล้วถึงเวลาจะเก็บมาทำอาหาร มีเทคนิคว่าอย่าใช้วิธีเด็ดใบ แต่ให้ตัดมาทั้งยอดเลย เพราะเมื่อตัดยอดมาแล้วกะเพราจะแตกยอดใหม่และใบหนากว่าเก่า ถ้าเก็บยอดกะเพรามาทำอาหารไม่ทันก็ต้องคอยดูแลตัดยอดทิ้งทุกสัปดาห์ โดยเฉพาะถ้าเห็นยอดไหนออกดอกต้องตัดท

  เนื่องจากผักที่วางขายตามท้องตลาดอาจจะมีสารเคมีปนเปื้อนมา ที่อาจเป็นอันตรายกับสุขภาพในระยะยาว หากสารพิษเหล่านั้นเข้าไปสะสมในร่างกายปริมาณมาก โดยเฉพาะผัก 10 ชนิดนี้ที่กรมอนามัยเผยว่ามีสารเคมีตกค้างสูง ได้แก่ กวางตุ้ง คะน้า ถั่วฝักยาว พริก แตงกวา กะหล่ำปลี ผักกาดขาวปลี ผักบุ้งจีน มะเขือ และผักชี เพื่อความปลอดภัยลองหันมาปลูกกินเองดู แถมผักสวนครัวบางชนิดยังสามารถปลูกขายได้อีกด้วยนะ สินค้าเหมาะสมกับสวนหลังบ้านคุณ  รั้วตาข่าย และ รั้วแรงดึง

  "ขวดพลาสติก" ที่ดื่มน้ำจนหมดแล้ว อย่าเพิ่งโยนทิ้ง เพราะสามารถนำมาใช้ปลูกผักแทนกระถางได้ เพียงแค่ตัดขวดกึ่งกลางในแนวขวาง แล้วเจาะรูสำหรับระบายที่ก้นขวดประมาณ 5-10 รู (ขึ้นอยู่กับขนาดของก้นขวด) จากนั้นรองด้านในด้วยวัสดุปลูก เช่น กาบมะพร้าวแช่น้ำ ตามด้วยดินร่วน โรยเมล็ดผักหรือปลูกผักลงไป เสร็จแล้วเทดินกลบโคนต้นบาง ๆ อีกชั้น พรมน้ำเล็กน้อยให้ดินพอชื้น แค่นี้ก็รอให้ผักออกผลผลิใบ โตพอที่จะนำไปทำอาหารได้ แถมวิธีนี้ยังช่วยลดขยะพลาสติกไปในตัวด้วย สินค้าเหมาะสมกับคุณ    รั้วตาข่าย และ รั้วแรงดึง

  ผักปลัง  หรือ  ผักปั๋ง   ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Basella alba  วงศ์ Basellaceae ไม้เลื้อย ลำต้นอวบน้ำ เกลี้ยง กลม ลำต้นมีสีเขียว ใบเดี่ยว อวบน้ำ เป็นมันหนานุ่มมือ ฉีกขาดง่าย ขยี้จะเป็นเมือกเหนียว ขอบใบเรียบ ดอกช่อเชิงลด ออกตรงซอกใบ ดอกย่อยจำนวนมาก ขนาดเล็ก ไม่มีก้านชูดอก แต่ละดอกมี 5 กลีบ ดอกสีขาว มีริ้วประดับ ติดที่โคนของกลีบรวม กลีบรวมรูประฆัง โคนเชื่อมติดกันเป็นท่อ ปลายแยกเป็นห้าแฉกเล็กน้อย เกสรเพศผู้มีจำนวน 5 อัน ติดที่ฐานของกลีบดอก อับเรณูรูปกลม ติดก้านชูเกสรที่ด้านหลัง เกสรเพศเมีย 1 อัน กลม ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น 3 แฉก ผลสด กลมแป้น ฉ่ำน้ำ ผิวเรียบ ปลายผลมีร่องแบ่งเป็นลอน ไม่มีก้านผล ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีม่วงอมดำ ภายในผลมีน้ำสีม่วงดำ เมล็ดเดียว สินค้าเหมาะสมกับสวนหลังบ้านของคุณ รั้วตาข่าย และ ลวดหนาม

  คื่นช่าย วิธีการเพาะ 1.นำเมล็ดคื่นช่ายแช่น้ำจนจมน้ำ 2.นำเมล็ดมาห่อด้วยทิชชู่และใส่ ใ น กล่องพลาสติก 3.ปิดฝาแล้วแช่ตู้เย็นประมาณ 1 วันจึงจะสามารถนำมาเพาะในกระถางได้ ซึ่งคื่นช่ายนั้นจะใช้เวลางอกอยู่ที่ประมาณ 7 วันและใช้ระยะเวลาในการปลูกอยู่ที่ประมาณ 80 วันถึงจะเก็บเกี่ยวได้ สินค้าเหมาะกับการดูแลรักษา ลวดหนาม และ รั้วตาข่าย   

  พืชปลูกง่ายปลูกอยู่ที่ประมาณ 25 วันถึงจะเก็บเกี่ยวได้ วิธีการเพาะ 1.นำเมล็ดผักบุ้ง มาแช่น้ำ 2.ให้เมล็ดผักบุ้งจมน้ำและใช้เวลาประมาณซัก 12 ชั่ ว โมง 3.จากนั้นก็นำผักบุ้งไปเพราะโรงกระถางได้ ซึ่งผักบุ้งนั้นจะใช้เวลางอกอยู่ที่ประมาณ 14 วันและใช้ระยะเวลาในการปลูกอยู่ที่ประมาณ 25 วันถึงจะเก็บเกี่ยวได้ สินค้าเกี่ยวกับการดูแลสวน ลวดหนาม และ รั้วตาข่าย

  วิธีการเพาะ 1.นำเมล็ดแตงกวาแช่ในน้ำอุ่นอุณหภูมิ 50 องศา 2.นำเมล็ดแตงกวาที่จมน้ำมาวางลงบนกล่องพลาสติก โดยนำทิชชู่ชุบน้ำมารองก้นกลางพลาสติกก่อน 3.ปิดฝากล่องให้แน่น 4.ตากแดด 2 ชั่วโมง ในช่วงเช้า 5.เมื่อครบ 2 ชั่วโมง นำเมล็ดไปเพาะในภๅชนะที่เราต้องกๅรปลูกได้เลย โดยแตงกวๅนั้นจะใช้เวลางอกอยู่ที่ประมๅณ 7 วัน เราสามารถขึ้นไม้ไผ่นั่งร้านได้ ทำเป็นสามเหลี่ยมตามรูปภาพ เพื่อให้ไม้เลื้อยขึ้นไปแล้วก็ห้อยผลแตงกวาลงมา สินค้าเหมาะสมกับการดูแล พืชผักสวนครัว ลวดหนาม และ รั้วตาข่าย 

              ผักชี คือ พืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว แต่เป็นพืชล้มลุกที่มีอายุสั้น ประมาณ 40-60 วันเท่านั้น โดยผักชีที่นิยมปลูกกันในประเทศไทยคือ ผักชีพันธุ์สิงคโปร์, พันธุ์สิงคโปร์เมล็ดดำ และพันธุ์ไต้หวัน เป็นต้น ในการปรุงอาหาร คนไทยจัดผักชีเป็นเครื่องเทศที่มีไว้ใส่น้ำซุป และเป็นเครื่องเคียงอื่น ๆ เพราะผักชีสามารถนำมาปรุงอาหารได้ทุกส่วนของต้นและยังช่วยดับกลิ่นคาวจากเนื้อสัตว์ได้ด้วย อุปกรณ์ที่ต้องใช้             - เมล็ดพันธุ์ผักชี สามารถหาซื้อได้ตามแหล่งขายเมล็ดพันธุ์ผักทั่วไป             - กระถาง             - ดินร่วน             - ปุ๋ยคอก             - ทราย หรือขี้เถ้า             - ฟางข้าว หรือหญ้าแห้ง วิธีปลูกผักชีในกระถาง   1. เตรียมดินสำหรับปลูก ด้วยการตากดินสัก 1 สัปดาห์ แล้วพรวนดินให้แตกเป็นก้อนเล็ก ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยสดคลุกเคล้าเข้าไป             2. บดเมล็ดพันธุ์ผักชีที่ซื้อมาให้แตกออกเป็น 2 ซีก แล้วนำเมล็ดไปแช่น้ำประมาณ 2-3 ชั่วโมง             3. นำเมล็ดพันธุ์ผักชีที่แช่น้ำแล้วไปผึ่งลม ผสมกับทรายหรือขี้เถ้าเล็กน้อย             4. เมื่อเห็นเมล็ดเริ่มงอก ให้นำไปใส่กร

  มะม่วงเป็นผลไม้ที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี โดยเป็นผลไม้ส่งออกหลักสำคัญของไทยติดอันดับผู้ส่งออกมะม่วง 1    ใน 3 ของโลก ผลผลิตรวมของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2.8 ล้านตันต่อปี แต่ปัญหาหลักของเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงในไทยยังประสบปัญหาเรื่องการใช้สารบังคับต้น เช่น สารแพกโคลบิวทราโซล บังคับให้มะม่วงมีการออกดอกนอกฤดูในอัตราที่สูงและไม่มีการฟื้นฟูบำรุงต้นในระหว่างการปลูก ส่งผลให้ต้นมะม่วงโทรมส่งผลให้ปริมาณผลผลิตและคุณภาพที่ได้ลดลง รวมทั้งต้นอ่อนแอทำให้ง่ายต่อการเข้าทำลายของโรคและแมลง กลยุทธ์สำหรับการวางแผนในการปลูกมะม่วงให้ประสบผลสำเร็จ 1. การเลือกพื้นที่ให้มีความเหมาะสมกับพืชที่ปลูก  เพื่อช่วยให้ทำงานได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ทำให้เอื้อต่อการปฎิบัติงานของคนและเครื่องจักรทางการเกษตร เช่น การวางระยะห่างของต้นให้เหมาะสม ทำให้ง่ายเเละสะดวกในการขนส่งผลผลิตออกจากแปลงปลูก 2.ใ ช้มะม่วงพันธุ์พื้นบ้านมาใช้เป็นต้นตอ   เนื่องจากมะม่วงพันธุ์ดั้งเดิมหรือพันธุ์พื้นบ้าน โดยส่วนใหญ่จะค่อนข้างทนต่อการเข้าทำลายของโรคเเละเเมลง 3.การ จัดการสวนที่ลงตัว   ศึกษาระยะการปลูกที่เหมาะสม การใช้ปุ๋ยที่เหมาะสมเเละปลูกโดยยึดหลักการปล

  หาชื้อทั่วไปที่เขาจัดเป็นบอนไซหรือสวนถาดแบบสำเร็จก็ราคาแสนแพง ไม่ถูกใจและไม่ถูกเงินสักเท่าไหร่ (ต้นละประมาณ 500–10,000++บาท แล้วแต่ความสวยงามและอายุของต้นไม้) ตัดสินใจลองเลี้ยงเองทำเองเพิ่มมูลค่าด้วยการให้รากขึ้นมาเกาะหินสวยงามและเพิ่มราคาขึ้นมาได้อีกด้วย ก่อนลงมือทำเรามาทำความรู้จักกับ “ต้นแก้วแคระ” “ต้นแก้วแคระอินโด” “แก้วแคระมหามงคล” หรือ “แก้วแคระจิ๋ว” มีลักษณะใบกลมรี ไม้พุ่มแน่นเหมาะสำหรับทำบอนไซ และจัดใส่กระถางน่ารักๆตั้งโต๊ะประดับ ซึ่งความเชื่อดั้งเดิมของเจ้าต้นแก้วแคระที่ว่านี้คือช่วยเสริมดวงโชคลาภให้เจ้าของ และยังช่วยสร้างบรรยากาศการทำงานให้สดชื่นได้อีกด้วย วิธีการเลี้ยงคือตั้งกลางแจ้งเพราะเค้าชอบแดด ไม่ควรรดน้ำมากเกินไปเพราะจะทำให้รากเน่าได้ ควรรดน้ำวันละหนึ่งครั้ง เลี้ยงดีๆจะมีดอกหอมๆสีขาว วิธีการทำบอนไซ “ต้นแก้วแคระจิ๋ว” ไม้พุ่มเล็กนิยมเลี้ยงเป็นบอนไซทรงพุ่ม 1. หาชื้อต้นที่ถูกใจแล้วนำมาเปลี่ยนกระถางทรงลึก ย้ำ..! ว่าทรงลึกนะคะ เพราะรากต้นแก้วจะยาว ถ้ากระถางตื้นเกินไป รากจะไม่เจริญเติบโตไม่สามารถหาอาหารได้ ***อาจจะทำให้ยืนต้นตายได้ ผู้เขียนมีประสบการณ์ตรงตายมาแล้วเพราะใช้กร

  สนิมเกิดจาก 1 ใน 3 ประการนี้ 1. กระบวนการที่เกี่ยวข้อง –  ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนในการทำความสะอาดกระบวนการผลิต เช่น การทำงานที่ต้องผ่านทั้งความเย็น ความร้อน การตัดโลหะ ล้วนเป็นส่วนสำคัญของการเกิดสนิมทั้งสิ้น ปัญหาดังกล่าวมักเกิดขึ้นภายในโรงงานผลิต ก่อนที่จะมีการบรรจุหรือส่งออก ดังนั้นการควบคุมกระบวนการผลิตเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันสนิม 2. บรรจุภัณฑ์ที่ห่อหุ้ม  – ประเภทของบรรจุภัณฑ์ที่ใช้บรรจุชิ้นส่วนโลหะมีความสำคัญ เช่น กระดาษลูกฟูกสามารถเก็บความชื้น ทำให้เกิดสนิมได้ บางครั้งการแก้ไขปัญหาสนิมในบางบริษัท อาจมองว่าการใช้บรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น จะช่วยลดการเกิดสนิม ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ยิ่งบรรจุภัณฑ์ยิ่งเพิ่ม ก็ยิ่งมีส่วนให้เกิดปัญหาสนิมมากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราควรเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับชิ้นงาน เพื่อลดต้นทุนที่จะเกิดขึ้น 3. สิ่งแวดล้อม  – ในขณะที่สภาพอากาศเป็นปัจจัยที่ชัดเจนที่สุด อุณหภูมิความชื้น หรือแม้กระทั่งสารปนเปื้อนในอากาศ ก็มีผลต่อการเกิดสนิมทั้งสิ้น คำแนะนำ  ลวดหนามกันสนิม   ลวดหนามทนสนิม อ้างอิง wealthyshine